ภาพจำของ “Bitcoin” ในปี 2017 คือ เพื่อนของพี่ทุยต้องมีลงทุนไว้ แม้กระทั่งเพื่อนคนที่ไม่เคยแม้แต่จะสนใจการลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ แต่กลับข้ามทั้งหุ้น ทอง และอนุพันธ์ มาลงทุนกับสกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency เลย Займ онлайн на карту.
นั่นเป็นสัญญาณของ “ฟองสบู่” ที่ชัดเจนแจ่มชัด และในที่สุด สกุลเงินที่ลืมตาดูโลกได้ไม่ถึง 10 ปีนี้ก็มูลค่าลดฮวบจากที่มีราคาต่อ 1 เหรียญบิตคอยน์แตะระดับ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ กลับร่วงลงมาอย่างต่อเนื่องจนเหลือเพียง 3,200 ดอลลาร์สหรัฐ ในปลายปี 2018
และในวันนี้บิตคอยน์ในวัย 11 ขวบฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ราคากำลังขึ้นทะยานมากกว่า 2 เท่าหากเทียบกับราคาเมื่อปลายปี 2019 และขึ้นไปเหนือระดับ 18,000 ดอลลาร์สหรัฐได้อีกครั้ง เกิดอะไรขึ้นกับ “Bitcoin” กันแน่?
ย้อนวันวานเมื่อฟองสบู่แตก
บิตคอยน์คือสกุลเงินดิจิทัลสกุลแรกของโลกที่ใช้เทคโนโลยี “บล็อกเชน” (Blockchain) สร้างขึ้นโดยบุคคลหรือกลุ่มคนที่ไม่มีใครรู้จักในช่วงต้นปี 2009 ก่อนจะมีการซื้อขายขึ้นจริงในปี 2010 โดยเป็นการซื้อพิซซ่า 2 ถาดในเมือง Florida ด้วยเงิน 10,000 บิตคอยน์ ซึ่งหลังจากนั้น บิตคอยน์ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม สำหรับรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกแล้ว “Bitcoin” กลายเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อสกุลเงินดั้งเดิม เพราะทางการไม่สามารถควบคุมได้ ไม่สามารถกำหนดทิศทางการแข็งค่าอ่อนค่าได้ ไม่ได้เป็นผู้ปล่อยเงินเข้าสู่ระบบ ไม่ได้เป็นผู้ดึงเงินกลับเข้าสู่ท้องคลัง และไม่ได้มีสินทรัพย์ค้ำประกันใดๆ ขณะที่ธนาคารหลายชาติต้องถือทองคำเอาไว้
ขณะที่สกุลเงินดั้งเดิมของแต่ละประเทศเป็นระบบ Centralization หรือมีหน่วยงานรัฐเป็นศูนย์กลาง บิตคอยน์กลับกระจายอำนาจออกไป (Decentralization) โดยไม่ว่าใครก็สามารถ “ทำเหมืองดิจิทัล” คือ ขุดเจาะเศษเหรียญบิตคอยน์ออกมาซื้อขายได้ และใช้จ่ายได้โดยไม่พึ่งพาสถาบันทางการเงินใดๆ เนื่องจากการซื้อขายจะบันทึกเอาไว้ในระบบเครือข่ายใหญ่แมงมุมที่เรียกว่า Blockchain แทน
ในช่วงแรกทางการแต่ละประเทศเพียงปิดเว็บไซต์ที่ซื้อขายบิตคอยน์ไปอย่างเงียบ ๆ แต่เมื่อ “Bitcoin” ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาลจนราคาพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทางการจึงต้องออกมาจัดการขั้นเด็ดขาด
ในปี 2018 หน่วยงานกำกับดูแลจากหลายรัฐบาลเข้าจัดการบิตคอยน์ โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างจีนที่เป็นประเทศมหาอำนาจแรก ๆ ที่จัดการบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ด้วยการปิดเว็บไซต์ซื้อขายหลัก ประกาศห้ามซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล และห้ามระดมทุนผ่านการออกเงินดิจิทัล หรือที่เรียกว่า Initial Coin Offerings (ICOs) ด้วย
ไม่ใช่แค่จีนเท่านั้น ทางด้านสหภาพยุโรปยังเห็นว่าสกุลเงินดิจิทัลเป็นช่องทางการทำผิดกฎหมาย เนื่องจากปราศจากการกำกับดูแล และเปิดพื้นที่ให้อาชญากรฟอกเงินได้อย่างสบายอกสบายใจ ในขณะที่ด้านสหราชอาณาจักรและสหรัฐต่างหาวิธีการมากำกับดูแลสกุลเงินดิจิทัล
การกำกับดูแลที่มาเป็นระลอกคลื่นได้ทำให้ความน่าลงทุนในบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ในฐานะตัวเลือกที่ไม่ได้มีหน่วยงานรัฐเป็นผู้มีอำนาจในการกำหนดทิศทางจึงเริ่มหมดไป และเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้ฟองสบู่บิตคอยน์ระเบิดในปีนั้น
เวลาเปลี่ยนทิศทางเปลี่ยน
แม้จะต้องการกำกับดูแลสกุลเงินดิจิทัล แต่ธนาคารกลางทั่วโลกก็ต่างมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและต้องการออกสกุลเงินดิจิทัลของตัวเอง หรือที่เรียกว่า Central Bank Digital Currencies (CBDCs) เช่น จีน หลายประเทศในยุโรป สหรัฐ รวมถึงประเทศไทยที่กำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่ด้วยเช่นกัน
ในรายงานของธนาคารเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements หรือ BIS) ซึ่งมีธนาคารกลางของแต่ละประเทศเป็นหุ้นส่วน ระบุว่า เนื่องจากในปัจจุบันความต้องการในการใช้ “เงินสด” ลดลงไป ทำให้ธนาคารกลางในแต่ละประเทศหันมาศึกษาออกสกุลเงินดิจิทัลของตัวเอง เพื่อใช้เป็นสกุลเงินทางเลือกที่ปลอดภัยและสะดวกในการใช้จ่าย
ท่าทีที่ไม่แข็งกร้าวจนปิดกั้นไปเสียทั้งหมดของธนาคารกลางกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ผู้คนกลับมาสนใจลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลอีกครั้ง ประกอบกับผู้ให้บริการทางการเงินรายใหญ่ของโลกอย่าง PayPal ก็เปิดให้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ เช่นเดียวกัน
แรงหนุนจากนักลงทุนสถาบัน
บิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะชาว Gen Y ที่เกิดระหว่างปี 1981 ถึง 1996 ซึ่งการวิจัยของธนาคารรายใหญ่อย่าง JPMorgan พบว่า ในระหว่างที่เกิดการระบาดของโควิด-19 คนรุ่นที่อายุมากกว่าจะเข้าลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ขณะที่คนรุ่นใหม่ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม แม้นักลงทุนรุ่นใหม่จะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับบิตคอยน์ แต่ในปัจจุบันสกุลเงินดิจิทัลยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันด้วย
“บิตคอยน์ตอนนี้กลายเป็นสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน”
Mike Novogratz มหาเศรษฐีนักลงทุน ผู้เคยเป็นผู้จัดการ Hedge Fund ให้กับ Fortess Investment Group กล่าว และยังคาดการณ์ด้วยว่า ปี 2021 บรรดาสถาบันการเงินจะเข้าลงทุนในบิตคอยน์มากกว่านี้อีก เนื่องจากในปัจจุบัน นักลงทุนสถาบันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ ยังมีเศรษฐีผู้จัดการและเจ้าของเฮดจ์ฟันด์อีกหลายคนออกมาเปิดเผยในลักษณะเดียวกัน เช่น Stanley Drunkenmiller ผู้เคยทำกำไรมหาศาลจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ในปี 1992 ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC ว่า บิตคอยน์ในวัย 13 ปี จะมีเสถียรภาพมากขึ้นทุกวันในฐานะแบรนด์ที่ทุกคนรู้จัก ส่วน Paul Todor Jones มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Tudor Investment Corporation ยังเข้าลงทุนในบิตคอยน์ด้วยตัวเอง พร้อมเปรียบเทียบกับการเข้าลงทุนใน Apple หรือ Google ล่วงหน้าก่อนที่ราคาจะพุ่งสูงขึ้นกว่านี้
นอกเหนือจากนี้ Rick Rieder จากฝ่ายการลงทุนบอนด์ของ BlackRock บริษัทด้านการลงทุนรายใหญ่สัญชาติอเมริกัน ยังกล่าวด้วยว่า บิตคอยน์จะยังคงมีชีวิตรอดต่อไปด้วยแรงหนุนจากคนรุ่นใหม่ที่มีความเปิดกว้างต่อการใช้สกุลเงินดิจิทัลและมีพฤติกรรมการใช้จ่ายโดยไม่ใช้เงินสด
ไม่ใช่แค่นั้น การระบาดของโควิด-19 ยังทำให้พฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านดิจิทัลได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย Alfred Kelly ซีอีโอของ Visa ผู้ให้บริการบัตรเครดิตรายใหญ่ของโลก มองว่า ผู้บริโภคกำลังมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป การใช้เงินสดน้อยลงไปอย่างมากท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 และสกุลเงินดิจิทัลจะเข้ามามีบทบาทในการใช้จ่ายผ่านทางดิจิทัลมากขึ้นในอนาคต
นอกเหนือจากบิตคอยน์ที่มีราคาพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว ค่าเงินสกุลดิจิทัลอื่น ๆ ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน อาทิ Ethereum ที่ไปยืนเหนือระดับ 500 ดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ได้เห็นมานานนับตั้งแต่กลางปี 2018
มีมุมมองบวกย่อมมีมุมมองติดลบ
ในเมื่อมีนักลงทุนที่มองบวกว่าสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์และอื่น ๆ จะไปได้สวย ย่อมต้องมีผู้มองว่าบิตคอยน์จะไปได้ไม่ไกล เนื่องจากการกำกับดูแลยังคงจ่อรออยู่
Ray Dalio ผู้ก่อตั้งกองทุน Hedge Fund ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Bridgewater กล่าวว่า บิตคอยน์ยังมีข้อเสียที่น่ากังวลอยู่ ทั้งความผันผวน และอาจจะกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายเมื่อใดก็ได้ ขณะที่ในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในการใช้บิตคอยน์เพื่อชำระเงินอยู่
จุดแข็งของบิตคอยน์และสกุลเงินอื่น ๆ คือการไม่ขึ้นอยู่กับองค์กรของรัฐ และอิสระดังกล่าวก็กลายเป็นช่องโหว่ให้เกิดการโอนย้ายถ่ายเงินอย่างผิดกฎหมายได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งหน่วยงานรัฐมีแนวโน้มจะเข้ามาควบคุมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากช่องโหว่ในส่วนนี้
ขณะที่แม้ธนาคารกลางจะให้ความสนใจในสกุลเงินดิจิทัล แต่สกุลเงินดิจิทัลที่ธนาคารกลางต้องการก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานรัฐอย่างเข้มงวด
จีนอาจกลายเป็นชาติแรกที่สามารถออกสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองได้ และได้เริ่มทดสอบครั้งใหญ่ด้วยการให้เงินดิจิทัลเป็นรางวัลแก่ผู้ถูกหวย มูลค่ารวมราว 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ก่อนหน้านี้ Mu Changchun รองผู้อำนวยการฝ่ายชำระเงินของธนาคารกลางจีน เคยเปิดเผยเอาไว้ว่า สกุลเงินหยวนดิจิทัลของจีนจะใช้รูปแบบ 2 ระบบ คือ ให้ธนาคารกลางซื้อขายเงินดิจิทัลแก่ธนาคารพาณิชย์ ก่อนที่ธนาคารพาณิชย์จะขายสกุลเงินดังกล่าวให้กับสาธารณะชนต่อไป
เท่ากับว่าการใช้สกุลเงินดิจิทัลของจีนจะยังคงเป็นรูปแบบรวมศูนย์อยู่ที่ธนาคารกลาง ซึ่งจะยังคงมีอำนาจในการควบคุมปริมาณของเงินในระบบต่อไป แตกต่างจากสกุลเงินที่ปราศจากธนาคารกลางดูแลและเป็นอิสระอย่างบิตคอยน์
พี่ทุยว่าคงไม่มีใครรู้อนาคตที่แน่นอน เพราะมหาเศรษฐีที่พากันออกมาบอกว่าตัวเองลงทุนบิตคอยน์ก็อาจจะผิดพลาดก็ได้ หรือคนที่มองลบต่อบิตคอยน์ในตอนนี้อาจจะเสียดายที่ตัวเองไม่ได้ลงทุนตั้งแต่ราคายังถูก
รู้อะไร คงไม่สู้ “รู้งี้” ซึ่งเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ในการลงทุน..
Comment